ขณะนี้ตะกร้าสินค้าของคุณว่างเปล่า

การควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล
by Peemanus Tongpiem / มิถุนายน 18, 2025
การควบคุมการติดเชื้อ (infection control) ในโรงพยาบาลถือเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้น ๆ ของการดำเนินงานด้านสุขภาพทั่วโลก เป้าหมายหลักคือการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคทั้งในผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ และผู้มาเยี่ยมชม เนื่องจากความเสี่ยงจากเชื้อดื้อยา (เช่น MRSA, VRE) โรคระบบทางเดินหายใจ (อย่าง COVID-19, ไข้หวัดใหญ่) หรือการติดเชื้อจากเลือด (เช่น sepsis) อาจส่งผลให้ระยะเวลาการรักษายืดเยื้อ เสียค่าใช้จ่ายสูง และกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการ โรงพยาบาลจึงต้องพัฒนาระบบควบคุมการติดเชื้อด้วยแนวทางที่ทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง
แนวทางล่าสุดในการควบคุมการติดเชื้อ
1. การสร้างและรักษาเขตปลอดเชื้อ (Clean Zone)
หนึ่งในแนวทางพื้นฐานแต่สำคัญ คือการแบ่งพื้นที่โรงพยาบาลออกเป็นเขต ๆ ตามความเสี่ยง:
- เขตปลอดเชื้อ (Clean Zone): ห้องผ่าตัด, ICU, ห้องแยกโรคผู้ป่วยติดเชื้อสูง
- เขตเชื้อปานกลาง (Intermediate Zone): ห้องผู้ป่วยทั่วไป หรือห้องตรวจ
- เขตเสี่ยงสูง (High‑risk Zone): พื้นที่รอผู้ป่วย, อนามัย, ห้องฉุกเฉิน
โดยแต่ละเขตมีการควบคุมการเข้า‑ออก การทำความสะอาด และระบบกรองอากาศที่แตกต่างกัน ให้แน่ใจว่าเชื้อโรคและฝุ่น PM2.5 ไม่ปะปนกันในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวสูง
2. การบำบัดน้ำและสิ่งแวดล้อม
การควบคุมเชื้อในน้ำและระบบระบายน้ำถือเป็นมาตรการไม่ควรถูกมองข้าม ระบบบำบัดน้ำเสียและการทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญ เช่น
- ระบบระบายน้ำและท่อทางเดินน้ำเหลืองที่ปลอดเชื้อ
- การใช้สารฆ่าเชื้อชนิดเข้มข้นตามแนวทาง CDC/WHO
- กลไกสำคัญคือการตรวจคุณภาพผู้ป่วยและตรวจสภาพแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ
3. การป้องกันการติดเชื้อผ่านบุคคล (Personal Protection)
การป้องกันผ่านบุคลากรมีความสำคัญสูง เช่น
- การทำงานตามหลัก PPE (ชุดป้องกันเต็มรูปแบบ)
- การฝึกบุคลากรเรื่องการล้างมืออย่างถูกต้อง (Hand Hygiene)
- ตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนตามมาตรฐาน
4. การใช้ระบบแจ้งเตือนในเชิงรุก (Active Surveillance)
โรงพยาบาลยุคใหม่ใช้ระบบแจ้งเตือนแบบอัตโนมัติเมื่อมีผู้ป่วยที่อาจแพร่เชื้อ เช่น
- ระบบแจ้งเตือนผ่าน Computerized Physician Order Entry (CPOE)
- ระบบจัดการห้องแยกโรคอัตโนมัติ
- วิเคราะห์ข้อมูลห้องผู้ป่วยเพื่อเตรียมมาตรการฉุกเฉิน
เทคโนโลยีที่ช่วยเสริมการควบคุมการติดเชื้อ
1. ระบบกรองอากาศระดับชั้นสูง
คุณภาพอากาศในโรงพยาบาลมีผลต่อการแพร่เชื้อและการฟื้นตัวของผู้ป่วย หลายสถาบันเริ่มใช้:
- HEPA H13/H14: กรองฝุ่น PM0.1–0.3 ได้มากกว่า 99.97%
- UV-C Sterilization: ฉายรังสี UV-C ฆ่าเชื้อในอากาศและพื้นผิว
- เครื่องฟอกอากาศสำหรับห้อง ICU/ห้องผ่าตัด: CADR สูงเพียงพอให้เกิดการเปลี่ยนอากาศบ่อย ๆ และลดโอกาสสะสมของเชื้อในอากาศ
2. ระบบฆ่าเชื้อพื้นผิวอัตโนมัติ
- หุ่นยนต์ฉายแสง UV-C หลังการใช้งานห้อง หรือในช่วงเวลาที่ไม่มีคนพักอาศัย
- เครื่องพ่นละอองฝอยละเอียด (Fogging Sprayer): สารเคมีฆ่าเชื้อเข้มข้นพ่นทั่วห้องดำเนินการอย่างปลอดภัย
3. ระบบตรวจจับและแจ้งเตือนเชิงไบโอเซนเซอร์
- เซ็นเซอร์วัดฝุ่น PM2.5 และ CO₂ เชื่อมกับระบบจัดการอาคาร
- ระบบตรวจการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรีย หรือไวรัสในห้องผู้ป่วยโดยอัตโนมัติ
- แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่เมื่อมีความเสี่ยงเกินขีดที่กำหนด เช่น ค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน
4. ระบบจัดการข้อมูลเชิงวิเคราะห์ (Analytics & AI)
- ใช้ Big Data วิเคราะห์แนวโน้มการติดเชื้อในโรงพยาบาล
- Predictive Model ช่วยคาดการณ์ช่วงที่มีโอกาสการระบาด
- AI แยกแยะแนวโน้มการติดเชื้อในเครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ
บทบาทของเครื่องฟอกอากาศสำหรับโรงพยาบาล

จากแนวทางเหล่านี้ จะเห็นได้ว่าหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญคือ เครื่องฟอกอากาศสำหรับโรงพยาบาล ที่ควรมีคุณสมบัติดังนี้:
- CADR สูง (ขั้นต่ำ 500 CFM หรือมากกว่า) เพียงพอกับห้องขนาด 20–50 ตรม.
- ระบบกรอง HEPA H13/H14 บวกสารคาร์บอน
- พัดลมทำงานเงียบ ปรับระดับได้
- ฟีเจอร์เตือนเปลี่ยนไส้กรอง หรือบอกสถานะคุณภาพอากาศ
- โครงสร้างแข็งแรง ถูกสุขอนามัย ทำความสะอาดง่าย
เมื่อผสมผสานเครื่องฟอกอากาศระดับนี้เข้าไว้ในระบบควบคุมการติดเชื้อ ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ป่วยและบุคลากรได้อย่างชัดเจน
ข้อเสนอแนวทางปฏิบัติ
- ประเมินพื้นที่: สำรวจขนาดห้อง ฟังก์ชันผู้ใช้งาน และความถี่การเปลี่ยนอากาศ
- เลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสม: พิจารณาจาก CADR, filter type, เสียง, ความสะดวกในการบำรุงรักษา
- ติดตั้งในจุดยุทธศาสตร์: ห้อง ICU, ผ่าตัด, ห้องผู้ป่วยติดเชื้อ และห้องคัดกรอง
- ทำความสะอาดและตรวจสอบสม่ำเสมอ: เช่นเปลี่ยนไส้กรองทุก 6 เดือน หรือก่อนหมดอายุ
- ฝึกอบรมบุคลากร: ให้เข้าใจวิธีใช้ และรวมการตรวจวัดคุณภาพอากาศในระบบแผนการควบคุมเชื้อ
- เฝ้าระวังประสิทธิภาพ: ติดตามค่า PM2.5, CO₂ และอัตราการติดเชื้อในแต่ละช่วงเวลา
สรุป
การควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลต้องอาศัยระบบที่เข้มแข็ง ร่วมกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นแผนจัดฝึกอบรม, ระบบแจ้งเตือน, งานฮาร์ดแวร์อย่าง UV-C หุ่นยนต์ และโดยเฉพาะ เครื่องฟอกอากาศสำหรับโรงพยาบาล ที่มี CADR สูง, filter คุณภาพสูง และรองรับการใช้งานอย่างต่อเนื่อง
หากโรงพยาบาลใดวางแผนเสริมมาตรการควบคุมมลพิษ อากาศ และเชื้อโรคให้มีมาตรฐานสูงสุด นั่นย่อมหมายถึงการยกระดับคุณภาพการรักษา ความปลอดภัย และความเชื่อมั่นในสถานพยาบาลนั้นในระยะยาว

Peemanus Tongpiem
เราให้ความสำคัญกับอาหารที่เรารับประทาน 3 มื้อต่อวัน แต่เรากลับละเลยอากาศที่เราใช้หายใจมากกว่า 10 ครั้งต่อนาที เป็นเหตุให้ผมเริ่มค้นคว้าและเผยแพร่ความรู้เรื่องมลพิษทางอากาศ เพื่อให้ผู้คนตระถึงความสำคัญของการใช้เครื่องฟอกอากาศเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น