ขณะนี้ตะกร้าสินค้าของคุณว่างเปล่า

เครื่องฟอกอากาศฆ่าเชื้อโรค ด้วย HEPA filter ฟอกฝุ่น กำจัดไวรัส เพื่อบ้านสะอาดอย่างแท้จริง
by Peemanus Tongpiem / มิถุนายน 25, 2025
ในยุคที่ปัญหาฝุ่น PM2.5 ไวรัส และแบคทีเรียกลายเป็นภัยคุกคามที่มองไม่เห็น การมี เครื่องฟอกอากาศฆ่าเชื้อโรค ติดบ้านไว้จึงไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยอีกต่อไป โดยเฉพาะรุ่นที่ใช้เทคโนโลยี HEPA filter ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการกรองอนุภาคเล็กระดับไมครอน ทั้งฝุ่น แบคทีเรีย และไวรัสในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับวิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศ HEPA ที่ฆ่าเชื้อโรคได้จริง พร้อมแนะนำรุ่นยอดนิยม และเคล็ดลับการใช้งานให้คุ้มค่าที่สุด
ทำไมต้องใช้เครื่องฟอกอากาศ HEPA ในการฆ่าเชื้อโรค?
HEPA (High-Efficiency Particulate Air) คือแผ่นกรองคุณภาพสูงที่สามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 0.3 ไมครอน ด้วยประสิทธิภาพสูงถึง 99.97% นั่นหมายความว่า มันสามารถกรองสิ่งต่างๆ ที่ปะปนมากับอากาศ เช่น ฝุ่นละเอียด PM2.5 ละอองเกสร สปอร์เชื้อรา รวมถึงไวรัสและแบคทีเรียบางชนิดได้อย่างครอบคลุม
แม้ว่า HEPA จะ ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ได้โดยตรงเหมือนแสง UV แต่การกรองออกจากอากาศก่อนที่เราจะหายใจเข้าไป ย่อมช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และไวรัสที่แพร่ทางละอองฝอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดเด่นของเครื่องฟอกอากาศ HEPA ฆ่าเชื้อโรค
- กรองไวรัสและแบคทีเรียในอากาศได้จริง
แผ่นกรอง HEPA ระดับ H13 หรือ H14 ได้รับการรับรองว่าสามารถกรองอนุภาคขนาด 0.1 – 0.3 ไมครอน ซึ่งอยู่ในช่วงขนาดของไวรัสโคโรนา (COVID‑19) และแบคทีเรียได้อย่างดี - ปลอดภัย ไม่ปล่อยโอโซน
ไม่เหมือนกับเครื่องฟอกอากาศบางรุ่นที่ใช้ Ionizer หรือ Plasma ซึ่งอาจปล่อยโอโซนออกมา HEPA ไม่มีสารเคมีหรือก๊าซอันตราย จึงปลอดภัยสำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ และสัตว์เลี้ยง - ดูแลรักษาง่าย
แผ่นกรองสามารถเปลี่ยนเองได้ มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 6–12 เดือน แล้วแต่ยี่ห้อและการใช้งาน
ส่วนประกอบสำคัญของเครื่องฟอกอากาศฆ่าเชื้อโรคแบบ HEPA
- Pre-filter
ดักฝุ่นขนาดใหญ่ เช่น เส้นผม ขนสัตว์ เศษฝุ่น เพื่อยืดอายุของแผ่น HEPA - แผ่นกรอง HEPA (H13 หรือ H14)
หัวใจของการกรองที่แท้จริง สามารถดักจับไวรัสและแบคทีเรียลอยในอากาศได้มากกว่า 99.97% - Activated Carbon Filter
แม้ไม่ใช่ส่วนที่ฆ่าเชื้อโรคโดยตรง แต่สามารถดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ สารเคมี VOCs และฟอร์มัลดีไฮด์ ช่วยให้อากาศภายในบ้านสะอาดและน่าอยู่มากขึ้น - ระบบเซนเซอร์และโหมดอัตโนมัติ
ตรวจจับคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์และปรับการทำงานตามความเหมาะสม ประหยัดพลังงาน และสะดวกสบาย
วิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศ HEPA ฆ่าเชื้อโรคให้เหมาะกับบ้านคุณ
- เลือกแผ่นกรอง HEPA H13 หรือ H14
อย่าหลงเชื่อคำว่า “HEPA-like” หรือ “HEPA-grade” เพราะอาจไม่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานจริง - คำนวณขนาดพื้นที่และค่า CADR
ค่าการส่งผ่านอากาศบริสุทธิ์ (CADR) ควรสัมพันธ์กับขนาดห้อง เช่น ห้อง 20 ตร.ม. ควรมี CADR อย่างน้อย 200 ลบ.ม./ชม. - ระดับเสียงขณะทำงาน
หากใช้ในห้องนอน ควรเลือกที่มีเสียงไม่เกิน 30 เดซิเบลในโหมดเงียบ เพื่อไม่รบกวนการนอน - ความถี่ในการเปลี่ยนฟิลเตอร์
ตรวจสอบว่าเปลี่ยนทุกกี่เดือน และมีไฟแจ้งเตือนอัตโนมัติหรือไม่ รวมถึงราคาฟิลเตอร์ในอนาคต
แนะนำเครื่องฟอกอากาศ HEPA ที่ฆ่าเชื้อโรคได้ดี
1. Sqair – เครื่องฟอกอากาศ HEPA ดีไซน์เรียบง่าย สำหรับทุกบ้าน

รายละเอียด:
- กรองด้วย HEPA H13 กำจัดแบคทีเรียและไวรัสในอากาศได้กว่า 99.95%
- ครอบคลุมพื้นที่ถึง 40 ตร.ม. เหมาะกับห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น
- ดีไซน์มินิมอล ใช้งานง่ายด้วยปุ่มหมุนเพียงปุ่มเดียว
- ไม่มีระบบปล่อยโอโซน ปลอดภัยสำหรับทุกคนในบ้าน
เหมาะสำหรับ:
ผู้ที่ต้องการเครื่องฟอกอากาศฆ่าเชื้อโรคที่ใช้งานง่าย ดีไซน์สวย เข้ากับบ้านทุกสไตล์
2. Blast Mini – เครื่องฟอกอากาศฆ่าเชื้อโรคขนาดเล็ก สำหรับห้องเฉพาะจุด

รายละเอียด:
- ใช้แผ่นกรอง HEPA H13
- CADR สูงถึง 740 (CFM 435)
- กรองฝุ่น PM2.5 และฆ่าเชื้อโรคได้ในพื้นที่ขนาด 100 ตร.ม.
- เสียงเบา เหมาะกับใช้ในห้องนอนหรือห้องเด็ก
- ขนาดกะทัดรัด เคลื่อนย้ายสะดวก
เหมาะสำหรับ:
คนที่มีพื้นที่จำกัด หรืออยากได้เครื่องขนาดเล็กไว้ใช้งานเฉพาะจุด เช่น ข้างเตียงนอน หรือโต๊ะทำงาน
3. Blast – เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ ฆ่าเชื้อโรคระดับโรงพยาบาล

รายละเอียด:
- ใช้แผ่นกรอง HEPA H13 ระดับเดียวกับในโรงพยาบาล
- CADR สูงถึง 950 (CFM 560) กรองเชื้อโรคในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้รวดเร็ว
- ครอบคลุมพื้นที่ถึง 150 ตร.ม. เหมาะสำหรับสำนักงาน คลินิก หรือบ้านขนาดใหญ่
- โครงสร้างแข็งแรง มีล้อเลื่อน เคลื่อนย้ายได้ง่าย
เหมาะสำหรับ:
ผู้ที่ต้องการเครื่องฟอกอากาศฆ่าเชื้อโรคที่ทรงพลัง ครอบคลุมพื้นที่กว้าง ใช้ในสำนักงานหรือบ้านขนาดใหญ่
เปรียบเทียบ 3 รุ่นเครื่องฟอกอากาศฆ่าเชื้อโรค ด้วย HEPA
รุ่นเครื่องฟอกอากาศ | พื้นที่ครอบคลุม | แผ่นกรอง HEPA | CADR (ลบ.ม./ชม.) | ระดับเสียง | อายุ HEPA | จุดเด่น |
---|---|---|---|---|---|---|
Sqair | สูงสุด 40 ตร.ม. | HEPA H12 (99.5%) (wedo-air.com) | 315 | 23–52 dB | ~6 เดือน | ดีไซน์มินิมอล, เบาสุดคลาส ฆ่าเชื้อ PM2.5,ไวรัส,แบคทีเรีย |
Blast Mini | 60–100 ตร.ม. | HEPA H13 (99.95%) | 740 | 35–49 dB | 12–17 เดือน | กำลังสูง ภายในไม่ใช่โรงแรม, เงียบกว่า IQ Air 20 dB |
Blast | สูงสุด 150 ตร.ม. | HEPA H13 (99.95%) | 950 | 29–43 dB | 17–22 เดือน | เครื่องใหญ่ระดับคลินิก, ราคาคุ้มค่า, ล้อเลื่อน |
วิธีใช้งานเครื่องฟอกอากาศ HEPA ให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด
- วางเครื่องในพื้นที่เปิดโล่งกลางห้อง เพื่อให้อากาศหมุนเวียนได้ทั่วถึง
- เปิดใช้งานตลอดเวลา หรืออย่างน้อย 8–10 ชั่วโมงต่อวัน
- หมั่นล้าง Pre-filter ทุก 2–3 สัปดาห์
- เปลี่ยน HEPA filter ตามรอบ โดยเฉลี่ย 6–12 เดือน แล้วแต่การใช้งาน
- หลีกเลี่ยงวางใกล้พัดลมหรือแอร์โดยตรง เพราะอาจทำให้เซนเซอร์ตรวจค่าฝุ่นผิดพลาด
สรุป
เครื่องฟอกอากาศฆ่าเชื้อโรค ที่ใช้ HEPA filter ถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและได้ผลจริง โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี UV หรือ Ionizer ที่อาจมีข้อจำกัดเรื่องความปลอดภัย หากคุณกำลังมองหาเครื่องฟอกอากาศที่สามารถรับมือกับฝุ่น PM2.5 สารก่อภูมิแพ้ และไวรัสในอากาศได้ในระยะยาว แนะนำให้ลงทุนกับรุ่นที่ใช้ HEPA H13 ขึ้นไป พร้อมระบบกรองที่ได้มาตรฐาน
เพราะการหายใจในอากาศสะอาดทุกวัน คือการลงทุนเพื่อสุขภาพที่คุ้มค่าที่สุดในยุคปัจจุบัน

Peemanus Tongpiem
เราให้ความสำคัญกับอาหารที่เรารับประทาน 3 มื้อต่อวัน แต่เรากลับละเลยอากาศที่เราใช้หายใจมากกว่า 10 ครั้งต่อนาที เป็นเหตุให้ผมเริ่มค้นคว้าและเผยแพร่ความรู้เรื่องมลพิษทางอากาศ เพื่อให้ผู้คนตระถึงความสำคัญของการใช้เครื่องฟอกอากาศเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น