ขวดแก้ว 2 ใบ ที่บรรจุฝุ่นpm2.5 และ pm10

PM2.5 กับ PM10 ต่างกันอย่างไร? เปรียบเทียบให้ชัด ผลกระทบและวิธีรับมือ

by Peemanus Tongpiem / สิงหาคม 18, 2025

เมื่อพูดถึงมลพิษทางอากาศ คำถามยอดฮิตคือ “PM2.5 กับ PM10 ต่างกันอย่างไร” ความต่างเล็ก ๆ ของ “ขนาดอนุภาค” กลับส่งผลใหญ่ต่อสุขภาพเรา บทความนี้จะอธิบายตั้งแต่ความหมาย แหล่งกำเนิด ผลกระทบ มาตรฐานคุณภาพอากาศ ตลอดจนวิธีป้องกันอย่างได้ผล

สรุปสั้น ๆ: PM10 คือฝุ่นที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ≤ 10 ไมครอน (ไมโครเมตร) ส่วน PM2.5 เล็กกว่านั้นมาก (≤ 2.5 ไมครอน) เล็กจนทะลุลึกถึงถุงลมปอดและเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายกว่า จึง “อันตรายกว่า” โดยทั่วไป


PM คืออะไร? แล้ว PM2.5/PM10 หมายถึงอะไร

  • PM (Particulate Matter) คือฝุ่นละอองแขวนลอยในอากาศ มีแหล่งกำเนิดทั้งจากธรรมชาติและกิจกรรมมนุษย์
  • PM10 (ฝุ่นหยาบ) ขนาด ≤ 10 ไมครอน มักมาจากดินฝุ่นบนถนน งานก่อสร้าง เกสรดอกไม้
  • PM2.5 (ฝุ่นละเอียด) ขนาด ≤ 2.5 ไมครอน มักเกิดจากการเผาไหม้ (ไอเสียดีเซล ไฟป่า เผาในที่โล่ง โรงงาน) และการเกิดอนุภาคทุติยภูมิจากก๊าซมลพิษ

คำอธิบายเชิงเทคนิคและอินโฟกราฟิกขนาดอนุภาคสามารถอ้างอิงงานสรุปของมหาวิทยาลัย/สถาบันในไทย เช่น บทความแนะนำพื้นฐานที่แยกความต่างของ PM10 และ PM2.5 ชัดเจน (เหมาะใช้เป็น external link อธิบายเพิ่มเติม). (KMUTT Library)


ทำไมขนาดถึงสำคัญ? (สุขภาพเกี่ยวข้องอย่างไร)

ขนาดเล็ก = แทรกซึมได้ลึกกว่า

  • PM10 มักหยุดที่โพรงจมูกและลำคอ ทำให้ระคายเคือง ไอ จาม น้ำมูกไหล
  • PM2.5 มีขนาดเล็กกว่า เสี่ยง ลงลึกถึงถุงลมปอด และมีหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางเดินหายใจ และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร จึงเป็นเป้า “กวดขัน” ของแนวทางสุขภาพระหว่างประเทศอย่าง WHO Air Quality Guidelines ที่เข้มงวดมากกับ PM2.5 (แนะนำค่าเฉลี่ยรายปี 5 µg/m³ และ 24 ชั่วโมง 15 µg/m³) เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชน.

งานศึกษาหลายชิ้น (รวมถึงในไทย) พบความสัมพันธ์ระหว่าง PM2.5/PM10 กับสภาพอุตุนิยมวิทยา และแหล่งกำเนิดในเมือง–ชนบทช่วง “ฤดูหมอกควัน” ชัดเจน สะท้อนว่า PM2.5 และ PM10 มีพลวัตและแหล่งกำเนิดแตกต่างกันพอสมควร.


PM2.5 กับ PM10 ต่างกันอย่างไร (เทียบแบบชัด ๆ)

ประเด็นPM10PM2.5
ขนาด≤ 10 ไมครอน (μm)≤ 2.5 ไมครอน (เล็กกว่า ~4 เท่าตามพื้นที่หน้าตัด)
แหล่งกำเนิดเด่นฝุ่นดินบนถนน การสึกกร่อน ก่อสร้างการเผาไหม้เชื้อเพลิง ไอเสียดีเซล ไฟป่า การเกิดทุติยภูมิจาก SO₂/NOx/VOCs
การแทรกซึมในร่างกายส่วนใหญ่ค้างในจมูก/คอ/หลอดลมต้น ๆเข้าถึงถุงลมปอด และมีโอกาสผ่านสู่กระแสเลือด
ความเสี่ยงสุขภาพระคายเคือง ตา/จมูก/คอโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดเรื้อรัง ภูมิแพ้กำเริบ เสี่ยงระยะยาวสูง
เหตุผลที่ถูกจับตาเข้มส่งผลกว้าง แต่ความรุนแรงต่ำกว่าอนุภาคเล็ก–อันตรายกว่า จึงเป็นเกณฑ์สุขภาพที่เข้มงวดกว่าของ WHO

(ภาพรวมสังเคราะห์จากแนวทาง WHO และแหล่งความรู้สถาบันไทย). (World Health Organization, mhesi.go.th)


ค่ามาตรฐาน/เกณฑ์แนะนำ: WHO vs ไทย

  • WHO (2021 Guidelines): PM2.5 เฉลี่ยรายปี 5 µg/m³, เฉลี่ย 24 ชม. 15 µg/m³; PM10 เฉลี่ยรายปี 15 µg/m³, เฉลี่ย 24 ชม. 45 µg/m³ (เป็น “แนวทางเพื่อสุขภาพ” ที่เข้มกว่ากฎหมายส่วนใหญ่).
  • ประเทศไทย: มีการปรับมาตรฐานและการสื่อสารคุณภาพอากาศในช่วงปี 2566 เพื่อให้เข้มขึ้นและสอดคล้องกับสถานการณ์จริง (อัปเดตในประกาศ/ข่าวของ กรมควบคุมมลพิษ)

PM2.5 กับ PM10 เกิดจากอะไร

  • PM10: ฝุ่นจากพื้นผิวถนนที่ฟุ้งจากการสัญจร งานก่อสร้าง โรงงานบดหิน/วัสดุ
  • PM2.5: ไอเสียยานพาหนะ (โดยเฉพาะดีเซล), การเผาในที่โล่ง/ไฟป่า, เชื้อเพลิงในอุตสาหกรรม และการเกิดอนุภาคทุติยภูมิจาก SO₂, NOx, VOCs ในบรรยากาศ
    งานวิจัยและรายงานในไทยชี้ว่าฤดูกาล/สภาพอุตุนิยมวิทยามีผลต่อระดับ PM อย่างมาก โดยช่วงฤดูแล้ง/หมอกควันค่ามักพุ่งสูง โดยเฉพาะ PM2.5.

หากอยากเจาะสาเหตุเชิงลึก แนะนำบทความ “ฝุ่น PM 2.5 เกิดจากอะไร?


วัดอย่างไร และสัมพันธ์กับ AQI ยังไง

สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศจะวัดความเข้มข้น PM2.5/PM10 (µg/m³) แบบรายชั่วโมง/รายวัน แล้วแปลงเป็น ดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) เพื่อสื่อสารความเสี่ยงสุขภาพเป็นสี/ช่วงที่เข้าใจง่าย (เช่น ดี–อันตราย). ในไทยมีการสื่อสารเกณฑ์ AQI เวอร์ชันปรับปรุง พ.ศ. 2566 เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่แม่นยำขึ้น.


ผลกระทบต่อสุขภาพ: ใครเสี่ยงมากที่สุด

  • กลุ่มเสี่ยง: เด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจ/ปอด/หอบหืด/ภูมิแพ้
  • อาการเฉียบพลัน: ระคายเคืองตา/จมูก/คอ หายใจลำบาก ไอ เจ็บหน้าอก
  • ผลระยะยาว: เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอดเรื้อรัง มะเร็งปอด และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

วิธีรับมือในชีวิตประจำวัน

  1. ติดตามค่า AQI/PM แบบเรียลไทม์ ผ่านแอป หรือ เครื่องวัดคุณภาพอากาศภายในบ้าน
  2. สวมหน้ากากที่กรองอนุภาคละเอียดได้ (เช่น N95/KF94) เมื่อต้องออกนอกบ้านในวันที่ PM2.5 สูง
  3. ปิดประตู/หน้าต่างช่วงค่าฝุ่นพุ่ง และลดช่องรั่วอากาศ
  4. ใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA แท้ + คาร์บอน ให้เหมาะกับขนาดห้อง และวางตำแหน่งถูกต้อง

เลือกเครื่องฟอกอากาศอย่างไรให้ “สู้ PM2.5 ได้จริง”

  • ดูค่า CADR ให้เหมาะกับพื้นที่ห้อง (ยิ่งสูงยิ่งกรองไว)
  • เลือกแผ่นกรอง HEPA (H13/H14) สำหรับฝุ่นละเอียด และ คาร์บอน สำหรับกลิ่น/ก๊าซ
  • คำนึงถึงเสียง/โหมดอัตโนมัติ/ค่าดูแลรักษา
  • ถ้าห้องใหญ่หรือบ้านโล่ง ให้เลือกเครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่ที่มีกำลังแรงเป็นพิเศษ
  • รวมรุ่นน่าใช้ในปีนี้เครื่องฟอกอากาศยี่ห้อไหนดี 2025

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: PM2.5 อันตรายกว่า PM10 จริงไหม?
A: โดยทั่วไปใช่ เพราะอนุภาคเล็กกว่า แทรกซึมลึกกว่า และสัมพันธ์กับโรคหัวใจ/ปอดมากกว่า จึงมีเกณฑ์แนะนำของ WHO ที่เข้มกว่า.

Q2: ตัวเลข AQI กับค่า PM ต่างกันไหม?
A: ต่างกันครับ ค่า PM คือ “ความเข้มข้น (µg/m³)” ส่วน AQI คือ “ดัชนีแปลงเพื่อสื่อสารความเสี่ยงสุขภาพ” ใช้หลายมลพิษรวมกันและแสดงเป็นสี/ช่วงเข้าใจง่าย

Q3: วันไหนต้องระวังเป็นพิเศษ?
A: ช่วงฤดูหมอกควัน/แล้ง ลมสงบ อุณหภูมิผกผัน หรือกิจกรรมเผาในที่โล่ง—ค่าฝุ่น (โดยเฉพาะ PM2.5) มักสูง ควรเช็ก AQI และสวมหน้ากากเมื่อออกนอกบ้าน.

Q4: ภายในบ้านปลอดภัยกว่าจริงไหม?
A: ไม่เสมอไป การทำอาหาร เผาเทียน กลิ่น/ควันภายใน ก็เพิ่ม PM ได้ ใช้เครื่องฟอกอากาศและระบายอากาศอย่างเหมาะสมช่วยได้มาก


บทสรุป

PM2.5 กับ PM10 ต่างกันอย่างสำคัญที่ “ขนาด” และ “ผลกระทบต่อสุขภาพ” — PM2.5 เล็กกว่า ฝังลึกกว่า และสัมพันธ์กับโรคหัวใจ/ปอดเด่นชัด จึงมีเกณฑ์สุขภาพเข้มกว่าตามแนวทาง WHO ขณะที่ในไทยมีการอัปเดตมาตรฐาน/การสื่อสารคุณภาพอากาศเพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์จริง การรับมือที่ได้ผลคือ ติดตามค่า AQI/PM แบบเรียลไทม์ + ใส่หน้ากาก + ใช้เครื่องฟอกอากาศ HEPA ให้เหมาะกับห้อง + วางตำแหน่งและใช้งานอย่างถูกต้อง

Peemanus Tongpiem

Peemanus Tongpiem

เราให้ความสำคัญกับอาหารที่เรารับประทาน 3 มื้อต่อวัน แต่เรากลับละเลยอากาศที่เราใช้หายใจมากกว่า 10 ครั้งต่อนาที เป็นเหตุให้ผมเริ่มค้นคว้าและเผยแพร่ความรู้เรื่องมลพิษทางอากาศ เพื่อให้ผู้คนตระถึงความสำคัญของการใช้เครื่องฟอกอากาศเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น